วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559

ประโยชน์ของไส้กรองชนิดต่างๆ


- ไส้กรอง Sediment หรือ โพลีโพรพีลีน (PP) กรองตะกอน ฝุ่น สิ่งสกปรก สารแขวนลอยต่างๆ
- ไส้กรองคาร์บอนชนิดเกล็ด กำจัด สี กลิ่น รส คลอรีน สารพิษต่างๆ และสารอินทรีย์ที่เจือปนมา
- ไส้กรองคาร์บอนชนิดแท่ง กำจัด สี กลิ่น รส คลอรีน สารพิษต่างๆ และสารอินทรีย์ที่เจือปน
- ไส้่กรองเรซิ่น หรือ Softener กรองหินปูน ลดความกระด้างในน้ำและดูบซับสี
- ไส้กรองเซรามิค กรองเชื้อโรคในน้ำได้เป็นอย่างดี เช่นเชื้อจุลินทรีย์ แบคทีเรียบางชนิด มีความละเอียดในการกรอง 30 ไมครอน
- ไส้กรองด้ายพัน กรองสารอินทรีย์ต่างๆ กรวด หิน ดิน ทราย มีความละเอียดในการกรอง 5 ไมครอน
- ไส้กรองจีบ กรองกรวด หิน ดิน ทราย และสนิม ทำความสะอาดง่าย มีความละเอียดในการกรอง 30 ไมครอน เครื่องกรองน้ำ เครื่องกรองน้ำ NSF
- ไส้กรองเมมเบรน Reverse Osmosis (RO) กรองสารละลายสารปนเปื้อน เชื้อไวรัส แบคทีเรีย และยังสามารถกรองน้ำเค็มให้จืดสนิท มีความละเอียดในการกรอง 0.0001 ไมครอน
- สารกรองแอนทราไซต์ กำจัดตะกอนและสนิมเหล็ก
- สารกรองแมงกานีส กำจัดสารโลหะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารละลายเหล็ก และยังเติมออกซิเจนให้กับน้ำ


วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

ความจำเป็นที่ต้องมี เครื่องกรองน้ำในบ้าน



องค์การอนามัยโลก ( WHO) ประมาณว่าบนโลกของเรานี้  ในทุกวันมีคนตายเนื่องจากเกี่ยวพันกับโรคที่ติดเชื้อมากับน้ำถึง 25,000 คน(Water Borne Disease) ต่อวัน  และในบางปีที่มีความแห้งแล้งอาจถึง  50,000 คนต่อวัน
จากสถิติโรคที่เกิดจากการติดเชื้อจากน้ำมีผู้ป่วยเป็นโรคท้องร่วงเนื่องจากน้ำจำนวน 88 รายจากผู้ป่วยทั้งหมด(ทั้งคนไข้นอกและคนไข้ใน) 100 ราย ( เท่ากับ 88 เปอร์เซ็นต์)ร้อยละ 25 ของเตียงในโรงพยาบาล เป็นคนป่วยเนื่องจากโรคที่เกิดจากการติดเชื้อจากน้ำซึ่งทั้งหมดเป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมเราจึงต้องระวังอันตรายจากน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์  ทำไมเราถึงต้องเร่งหาเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในราคายุติธรรม เพื่อป้องกันตนเองและครอบครัว  ให้ปลอดภัยจากโรคที่มาจากน้ำ
เครื่องกรองน้ำ สำหรับใช้ทำให้ได้น้ำดื่มที่มีคุณภาพ   นับว่ามีความจำเป็นขึ้นทุกวัน  เพราะปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับน้ำดื่ม อาทิ เช่น เชื้อจุลินทรีย์ สารเคมี และโลหะหนักที่ปนเปื้อนมากับน้ำ  รวมทั้งมีความจำเป็นที่จะได้น้ำดื่มในอุดมคติ  คือ มีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆ มีเกลือแร่ที่จำเป็น และมีโครงสร้างของน้ำขนาดเล็ก
การเลือกเครื่องกรองน้ำ ชนิดใดก็อยู่ที่จุดประสงค์ของการใช้ เพราะต่างก็มีคุณภาพดีคนละอย่าง มีสารต่างๆ กับวิธีการต่างๆ กันที่นำมาใช้กับเครื่องกรองน้ำ  ซึ่งเครื่องกรองน้ำทุกชนิดและทุกบริษัทก็มั่นใจในคุณภาพของตน  เราต้องเป็นผู้ตัดสินใจเลือก  เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัว
เครื่องทำให้น้ำสะอาดนี้ คาดว่า ในครอบครัวชั้นกลางขึ้นไปทุกครอบครัวจะต้องมีเครื่องกรองน้ำอย่างน้อย  1 เครื่อง ไว้กรองน้ำดื่มใช้เองในบ้านภายใน 10 ปีข้างหน้านี้
ดังนั้นการมีเครื่องกรองน้ำเพื่อทำน้ำดื่มในบ้านจึงเหมาะสม เพราะเรากรองน้ำด้วยตัวเราเอง  จึงมีความเชื่อมั่นและประหยัดในระยะยาว  สะดวกกว่าการซื้อน้ำขวดมาใช้ เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัว อย่ามัวคิดถึงความประหยัดจนกลายเป็นตระหนี่แต่อย่างเดียว  นักเศรษฐศาสตร์จะต้องเอาวิชาเศรษฐศาสตร์มาใช้กับราคาชีวิตของมนุษย์อย่างระมัดระวัง  มิฉะนั้นเราคงไม่ต้องไปรักษาคนแก่ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายเพราะเสียค่าใช้จ่ายสูง  ถ้าฟื้นมาก็ไม่สามารถสร้างรายได้อะไรให้กับสังคม  ถ้าใช้หลัก Cost  และ Benefit  คือต้นทุนและกำไรจะดูไม่คุ้มแน่  แต่สุขภาพที่ดีของท่านและชีวิตของคนที่ท่านรักไม่สามารถตีราคาเป็นเงิน

ขอบคุณที่มา greenwatershopping

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

อัศจรรย์พลังน้ำ


อัศจรรย์พลัง น้ำ (Momypedia)

          น้ำใสๆ ไม่มีรสชาติ แต่มีดีสารพัดเลยนะ 

          ความอัศจรรย์ของพลังน้ำที่มีกับพวกเราๆ ทุกคนนั้น เริ่มขึ้นหลังจากที่เราดื่มน้ำจากเครื่องกรองน้ำหรืออาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ น้ำก็จะไปถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็ก แล้วไปรวมเดินทางผจญภัยตามเซลล์ต่างๆ กับเลือดทั่วตัวของเรา
          จากนั้นก็เริ่มกระจายกำลังกันออกทำหน้าที่ต่างๆ เริ่มตั้งแต่เป็นองค์ประกอบในเนื้อเยื้อและอวัยวะต่างๆ (เกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวคือน้ำ) ไปเป็นตัวทำละลายสารอาหาร ช่วยลำเลียงแร่ธาตุ วิตามิน และเลือดให้ไหลเวียนไปบำรุงหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย (ซึ่งมีไม่น้อยกว่า 75 แสนล้านเซลล์) 

          หนำซ้ำคุณเธอยังใจดีรับของเสียจากเซลล์ต่างๆ กลับออกมาทิ้งให้ด้วย อีกทั้งเป็นที่ช่วยควบคุม กระจาย และขับความร้อนในร่างกายให้อยู่ในภาวะปกติ ช่วยให้สดชื่นสบายตัว ไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ 

          นอกจากนั้นน้ำยังเป็นเหมือนน้ำมันเครื่องคอยหล่อลื่นอวัยวะภายในร่างกายต่างๆ ไม่ให้เสียดสีกัน จนชำรุดสึกหรอ และบำรุงผิวให้สวยใสไม่แห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควร และเมื่อได้เที่ยวสนุกจนเพลินใจแล้ว น้ำซึ่งหอบของเสียกลับมาก็จะถูกขับออกจากร่างกายในรูปของเหงื่อ ลมหายใจ และปัสสาวะ ถือเป็นการสิ้นสุดทัวร์ของน้ำในร่างกายเขาล่ะ 

          เห็นมั้ยคะว่าน้ำสำคัญกับชีวิตและสุขภาพของเรามากเพียงไหน ฉะนั้นจะยกแก้วขึ้นดื่มน้ำคงต้องดูสักนิดว่า น้ำสะอาดหรือมีพิษภัยซ่อนอยู่บ้างหรือเปล่า (อย่าลืมสิคะว่าน้ำเป็นตัวทำละลายชั้นดี ไม่ว่าจะเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์หรือสารพิษที่มีโทษ น้ำก็ละลายมาไว้เก็บกับตัวได้ทั้งนั้น) ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้ากินเข้าไปแบบไม่ระวัง โดนท้องไส้ตับไตประท้วงกลับเอาบ้าง แล้วจะมาบ่นทีหลังไม่ได้นะเออ... 

 เรื่อง "น้ำ" น่ารู้ 

           ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำจากเครื่องกรองน้ำวันละ 6-8 แก้วต่อวัน 

           อย่ารอให้รู้สึกกระหายน้ำก่อนถึงจะหาน้ำเย็นๆ มาดื่ม เพราะนั่นแสดงว่าร่างกายสูญเสียน้ำไปแล้วประมาณ 2-3 แก้ว ทางที่ดีควรขยันจิบน้ำไปเรื่อยๆ ทั้งวันจะดีกว่า 

           พยายามเลี่ยงการดื่ม กาแฟ ชา น้ำอัดลม ซึ่งมีคาเฟอีนและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะคาเฟอีนและแอลกอฮอล์จะไปกระตุ้นการขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายเสียน้ำมากขึ้น 

           น้ำเย็นจะซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็วและช่วยดับร้อนได้ดีกว่าน้ำอุ่น

           ร่างกายของเราไม่สามารถเก็บน้ำไว้ใช้ได้ เราจึงต้องดื่มน้ำเป็นประจำ ถ้าร่างกายได้รับน้ำไม่พอก็จะเกิดภาวะขาดน้ำ อ่อนเพลีย หน้ามืด หรือช็อคหมดสติเป็นอันตรายได้ 

           การดื่มน้ำมากๆ ช่วยให้ไตไม่ต้องทำงานหนักมาก เนื่องจากน้ำจะช่วยให้ไตสามารถขับของเสียออกมาได้ดีขึ้น

           อย่าลืมเริ่มต้นวันใหม่และอำลาวันเก่าอย่างสดชื่นด้วยน้ำเปล่า 1 แก้วเป็นประจำทุกวัน 
ขอบคุณที่มา  health.kapook.com

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 3 ความพรุนและความซึมได้ (Porosity and Permeability)

ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าชั้นหินที่ประกอบเป็นเปลือกโลกอาจจะเป็นชั้นหินอุ้มน้ำที่ดีหรือไม่ดี สามารถจ่ายน้ำออกมาเพื่อสูบน้ำใช้ได้มาก หรือน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสภาพธรณีวิทยา พื้นฐานของชั้นหินนั้นๆ กล่าวคือ จะขึ้นอยู่กับความพรุน (porosity) และความซึมได้ (permeability) เป็นสำคัญ
ความพรุน (Porosity )
                หมายถึง  จำนวนช่องว่างที่มีอยู่ในหินทั้งหมด โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของปริมาณทั้งหมดของหินนั้น  ตัวอย่างเช่น หินทรายก้อนหนึ่งมีปริมาตร 100 ลบ.นิ้ว มีช่องว่างคิดเป็น 20 ลบ.นิ้ว หินทรายก้อนนี้ก็จะมีความพรุนเท่ากับ 20เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากน้ำบาดาลเป็นน้ำที่ถูกกักเก็บหรือแทรกตัวอยู่ในช่องว่างของหินในโซนอิ่มตัว ดังนั้น ขนาดของความพรุนก็จะเป็นตัวบ่อบอกถึงจำนวนปริมาณของน้ำบาดาลที่ถูกกักเก็บอยู่ในชั้นหินอุ้มน้ำต่างๆ ตัวอย่างของค่าความพรุนในหินชนิดต่างๆแสดงไว้ในตารางที่ 1


 ความพรุนของหินตะกอนจะขึ้นอยู่กับ (รูปที่ 5)
1.รูปร่างและการเรียงตัวของ 
rock particles
2.
ความดี เลวในการคละและแยกระหว่าง rock particles เครื่องกรองน้ำ3.การเชื่อมประสานกันของ rock particles ในขณะที่เกิดและหลังการสะสมตัว
4.การละลายออกของแร่บางชนิดจากหิน โดยน้ำบาดาลที่ไหลหมุนเวียน
5.รอยแตกของหินทั้งแนวเอียงและแนวนอน


รูปที่ 5  ความสัมพันธ์ของช่องว่าง เนื้อหิน และความพรุน
        (a)    หินที่มีการคัดขนาดดี และมีความพรุนสูง
(b)    หินที่มีการคัดขนาดเลว มีความพรุนต่ำ
(c)    หินที่มีการคัดขนาดดี และเนื้อหินเป็นหินเนื้อพรุนอยู่แล้ว ความพรุนจะสูงมากขึ้น
(d)   หินที่มีการคัดขนาดดี แต่มีสารละลายแร่ธาตุอื่นมาตกผลึกแทรกตามช่องว่าง ความพรุนจะลดลง
(e)   หินที่มีความพรุนสูง เนื่องจากตัวของมันเป็นหินละลายน้ำได้
(f)    หินที่มีความพรุน เนื่องจากรอยแตกในเนื้อหิน
ความซึมได้ (Permeability)
                
หมายถึง ความสามารถของชันหินอุ้มน้ำที่จะยอมให้น้ำภายใต้ความกดดันไหลผ่านไปมาได้ ดังนั้นพวกที่มีความซึมได้ต่ำจึงเป็นชั้นหินอุ้มน้ำที่เลว กล่าวคือ จะยอมปล่อยให้น้ำส่วนน้อยที่ตัวมันเองกักเก็บอยู่ออกมาใช้ประโยชน์  โดยปกติความซึมได้ของหินจะวัดด้วยอัตราความเร็วของการไหลของน้ำคิดเป็นแกลลอนต่อวัน ผ่านพื้นที่ตัดของหิน 1 ตารางหน่วย ภายใต้ความกดดันต่างกัน 1 หน่วย (unit of hydraulic gradient) ต่อระยะทาง 1 ฟุต ค่าที่วัดได้ จะเรียกว่า สัมประสิทธิ์ของความซึมได้
                ความซึมได้จะมีส่วนสัมพันธ์กับขนาดการเรียงตัวและการคลุกเคล้าของ 
rock particles กล่าวคือ พวกที่มีขนาดใหญ่ เรียงตัวและคลุกเคล้ากันอย่างมีระเบียบจะมีความซึมได้สูงกว่าหินที่มี rock particles ขนาดเล็กและเรียงตัวกันอย่างไม่มีระเบียบ ซึ่งเป็นเหตุผลอธิบายได้ว่าทำไมชั้นหินอุ้มน้ำที่มีช่องว่างขนาดใหญ่ สามารถจ่ายน้ำได้มากกว่าพวกที่มีช่องว่างขนาดเล็ก ตัวอย่างเช่น ในกรณีชั้นกรวด จะให้น้ำมากกว่าชั้นทราย ทั้งๆที่ความพรุนอาจจะเท่าๆกัน หินที่ไม่ยอมให้น้ำไหลซึมผ่าน (impermeable rocks) มักจะเป็นหินที่ปราศจากช่องว่าง หรือถ้ามีก็จะเป็นช่องว่างที่ไม่ต่อเนื่องกัน หรือช่องว่างก็มีขนาดเล็กเกินไป จนน้ำที่ถูกกักเก็บหรือแทรกอยู่ถูกแรงดึงระหว่างอณู (molecular force)ของหินดึงดูดเอาไว้ ดินเหนียว (clay) หรือ หินดินดาน (shale)
การเคลื่อนที่ของน้ำบาดาลตามธรรมชาติและบริเวณบ่อน้ำบาดาล (Ground water Movements and Flow from Wells)
                เนื่องจากการเคลื่อนที่ หรือการไหลของน้ำบาดาลจะอยู่ในลักษณะที่ต้องเคลื่อนที่ผ่านช่องว่างต่างๆ ซึ่งตัวมันเองแทรกหรือถูกกักเก็บอยู่ การไหลของน้ำบาดาลจึงอยู่ในลักษณะของ 
flow through porous media และโดยปกติอัตราการไหลจะช้ามาก ยกเว้นในพวกที่ไหลในช่องว่างขนาดใหญ่ๆ เช่น โพรง solution channel ในหินปูน เป็นต้น ทิศทางการไหลของน้ำบาดาลโดยทั่วๆไป อาจจะแสดงให้เห็นดังในรูปที่ 6


รูปที่ 6  การไหลของน้ำโดยทั่วๆไป
 
ทิศทางการไหลและเส้นแสดงระดับความดันของน้ำบาดาล (Ground water   Flow line and  equipotential lines )
               เราสามารถที่จะหาทิศทางการไหลของน้ำบาดาลในบริเวณใดบริเวณหนึ่งได้ ถ้าทราบระดับน้ำบาดาลตั้งแต่ 3 บ่อขึ้นไป การทราบระดับน้ำบาดาลจะทำให้เราสามารถเขียนเส้นแสดงระดับความดันในชั้นหินอุ้มน้ำ (
equipotential lines) และเขียนเส้นแสดงทิศทางการไหล (Flow lines) ของน้ำบาดาลในบริเวณนั้นได้ โดยถือหลักง่ายๆ 2 ข้อ (รูปที่ 7 ) คือ เครื่องกรองน้ำราคาถูก
                1.เส้นแสดงทิศทางการไหลจะตั้งฉากกับเส้นทางระดับความดันเสมอ
                2.การไหลจะไหลจากบริเวณที่มีความดันสูงไปสู่บริเวณที่มีความดันต่ำ

 

รูปที่ 7 การประเมินระดับ ตำแหน่ง และทิศทางการไหลของน้ำบาดาลจากบ่อ 3 บ่อ

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 2 ชั้นหินอุ้มน้ำ (Aquifer)

   ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า  ชั้นดินและหินจะมีช่องว่างที่สามารถกักเก็บน้ำได้ในทางธรณีวิทยาแล้ว หินเหล่านี้จะเรียกรวมๆกันว่า หินกักเก็บน้ำ (water – bearing rocks) แต่หินกักเก็บน้ำเหล่านี้อาจจะจ่ายน้ำได้ไม่เพียงพอ ในการสูบน้ำมาใช้สอย ขึ้นอยู่กับลักษณะธรณีวิทยาพื้นฐาน ซึ่งได้แก่ ความพรุน (porosity) และความซึมได้ (permeability) ของหินเหล่านั้นเป็นสำคัญ  ชั้นหินที่สามารถจ่ายน้ำบาดาลให้ได้เป็นปริมาณมากและพียงพอต่อการสูบน้ำขึ้นมาใช้สอยเรียกว่า ชั้นหินอุ้มน้ำ(Aquifer) ดังนั้น ชั้นหินทุกประเภทที่ประกอบเป็นเปลือกโลกจึงอาจจะเป็นได้ทั้งชั้นหินอุ้มน้ำที่ดีและเลว  ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติทางธรณีวิทยาของชั้นหินนั้นๆ นั่นเอง ชั้นหินอุ้มน้ำสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ ด้วยกัน ขึ้นอยู่กับสภาพทางธรณีวิทยาและแรงกดดัน (pressure) ที่มีอยู่ภายในน้ำบาดาลและชั้นดินอุ้มน้ำนั่นเอง ดังนี้
                1.Unconfined (Water TableAquifer ได้แก่ ชั้นหินอุ้มน้ำที่ไมอยู่ภายใต้แรงกดดัน และจะมีระดับของน้ำบาดาลอยู่ตอนบนสุดของส่วนที่อิ่มด้วยน้ำ ระดับน้ำบาดาลอาจสูงขึ้นหรือต่ำลง ขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำบาดาลที่ถูกกักเก็บไว้อยู่ การไหลของน้ำบาดาลในชั้นหินอุ้มน้ำลักษณะนี้จะไหลไปตามความชันหรือความเอียงเท (gradient) ของระดับน้ำบาดาลในชั้นหินอุ้มน้ำ กล่าวคือ ไหลตาม hydrostatic pressure และแรงดึงดูดของโลกนั่นเอง เครื่องกรองน้ำ
                2.Confined (ArtesianAquifer : ได้แก่ ชั้นหินอุ้มน้ำ ที่มีหินเนื้อแน่นวางทับข้างบนและรองอยู่ข้างล่าง ทำให้ชั้นหินอุ้มน้ำ และน้ำบาดาลที่ถูกกักเก็บอยู่ อยู่ภายใต้ความกดดันเนื่องจากน้ำหนักของหินที่กดทับ การไหลของน้ำบาดาลใน Confined aquifer จะมีลักษณะคล้ายๆการไหลของน้ำในท่อเพราะถูกประกบด้วยชั้นหินเนื้อแน่น ทั้งข้างบนและข้างล่าง  ถ้าเจาะบ่อบาดาลผ่านเข้าไปใน confined  aquifer ระดับน้ำที่ปรากฏให้เห็นในบ่อ จะแสดงระดับของความกดดันที่มีอยู่ในชั้นหินอุ้มน้ำ และจะมีระดับสูงกว่าส่วนที่อิ่มตัวด้วยน้ำเสมอ แนวหรือระดับที่แสดงความกดดันนี้ เรียกว่า Piezometric  surface (line of equal pressure) (รูปที่ 3)              3.Perched Aquifer: ในทางธรณีวิทยา จะถือว่าเป็นชั้นหินอุ้มน้ำปลอม กล่าวคือ ถ้าหากในบริเวณส่วนสัมผัสอากาศ มีชั้นหินเนื้อแน่น ซึ่งน้ำซึมผ่านไม่ได้ เป็นรูปโค้งงอคล้ายแอ่ง (lens shaped) เกิดร่วมอยู่ด้วย เมื่อฝนตกและน้ำไหลซึมลงไปใต้ดินสู่ส่วนสัมผัสอากาศ น้ำส่วนหนึ่งก็จถูกกักเก็บไว้เหนือชั้นหินเนื้อแน่นนี้ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะไหลซึมลงไปสู่โซนอิ่มตัวข้างล่าง ส่วนของน้ำที่ถูกกักเก็บอยู่ในแอ่งเหนือชั้นหินเนื้อแน่นนี้เรียกว่า น้ำบาดาลปลอม ( perched water) ระดับของน้ำเรียกว่า perched water table น้ำบาดาล เครื่องกรองน้ำ ปลอมนี้ เมื่อขุดบ่อลงไปครั้งแรกอาจจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นชั้นน้ำบาดาลจริงๆ แต่เมื่อตักน้ำขึ้นมาใช้นานๆเข้า น้ำอาจจะหมดไปได้ ขึ้นอยู่กับขนาดของชั้นดินเนื้อแน่นและแอ่งที่เกิด (ดูรูปที่ 3 และ 4)
รูปที่ 3

รูปที่ 4




วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

ตอนที่ 1 กำเนิดของน้ำบาดาล (Occurrence of ground water)

น้ำในโลกเรานี้  สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆด้วยกัน คือ
             1.น้ำในบรรยากาศ (Atmospheric or meteoric water) ซึ่งอาจจะอยู่ในสถานะที่เป็นของแข็ง เช่น ลูกเห็บ หิมะ หรือของเหลว เช่น ฝน น้ำค้าง หรือไอ เช่นหมอก เมฆ
2.น้ำผิวดิน (
2.น้ำผิวดิน (Surface water) ซึ่งได้จากน้ำในบรรยากาศ กลั่นตัวเป็นฝน ตกลงบนพื้นโลก และถูกกักขังอยู่ตามแม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง สระ ทะเลสาบ ในลักษณะของน้ำจืดและตามทะเล มหาสมุทร ในลักษณะของน้ำเค็ม
3.น้ำใต้ดิน (
3.น้ำใต้ดิน (Subsurface water) ได้แก่ น้ำที่ไหลซึมผ่านชั้นดินลงไปกักเก็บอยู่ใต้ดิน ซึ่งจะรวมถึงน้ำบาดาลด้วย

                น้ำทั้งสามประเภทนี้ มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงเป็นลูกโซ่ เพราะได้กำเนิดหมุนเวียนจากประเภทหนึ่งไปเป็นอีกประเภทหนึ่งตลอดเวลา การหมุนเวียนเหล่านี้เรียกว่า วัฎจักรของน้ำ (hydrologic cycle) ซึ่งพอจะอธิบายได้คือ น้ำฝน (precipitation) ที่ตกลงบนพื้นดิน บางส่วนจะถูกพืชดูดไว้ บางส่วนไหลล้นไปตามผิวดิน (surface run-off) ลงสู่แม่น้ำ ลำธาร หรือทะเล กลายเป็นน้ำผิวดิน  ในขณะเดียวกันบางส่วนจะไหลซึมลงไปใต้ดินกลายเป็นน้ำใต้ดิน ทั้งน้ำผิวดินและใต้ดินจะไหลไปจุดเดียวกัน คือ ทะเล จากน้ำทะเลก็จะระเหยกลายเป็นไอขึ้นในอากาศ ไอน้ำในอากาศจะได้รับเพิ่มเติมเป็นบางส่วนจากการระเหยเป็นไอของน้ำจืด จากแม่น้ำลำคลอง และการคายน้ำของพืช เมื่อไอน้ำในอากาศถึงจุดอิ่มตัว ก็จะกลั่นตัวตกลงมาเป็นฝนลงสู่พื้นโลกอีกต่อไป (รูปที่ 1)ปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นตลอดเวลาและตลอดไป และแสดงให้เห็นว่าน้ำจะไม่มีวันสูญหายไปจากโลก เครื่องกรองน้ำ

การแบ่งชนิดของน้ำใต้ดิน
                ในทางธรณีวิทยา สามารถแบ่งน้ำใต้ดิน(Subsurface water) ออกเป็นหลายลักษณะด้วยกัน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและความลึกที่น้ำนั้นถูกกักเก็บอยู่  โดยทั่วๆไปแล้ว  ดินและหินจะประกอบด้วยช่องว่าง (voids or interstices) ซึ่งน้ำสามารถแทรกเข้าไปอยู่หรือถูกกักเก็บไว้ตลอดจนมีการเคลื่อนไหวไปมาได้ น้ำที่แทรกอยู่ในช่องว่างของหินและดินจะเรียกรวมๆกันว่าน้ำใต้ดิน  นอกจากนี้แล้ว ในทางธรณีวิทยายังแบ่งชั้นของดินและหินที่อยู่ใต้ผิวดินลงไปเป็น 2 ส่วน (zone) ใหญ่ๆ ด้วยกัน กล่าวคือ บริเวณที่เป็นส่วนสัมผัสอากาศ (zone of aeration) และบริเวณส่วนที่อิ่มตัวด้วยน้ำ (zone of saturation) (ดูรูปที่ 2) ในบริเวณของส่วนสัมผัสอากาศช่องว่างบางส่วนจะมีน้ำกักเก็บอยู่ และบางส่วนจะมีอากาศแทรกอยู่ น้ำใต้ดินส่วนนี้จะถูกเรียกว่า Vadose or Suspended water ซึ่งสามารถแบ่งย่อยออกเป็น 3 ชนิด ขึ้นอยู่กับลักษณะที่มันถูกกักเก็บอยู่ คือ
             
1.soil water  เป็นน้ำที่กักเก็บอยู่ในส่วนบนสุดของส่วนสัมผัสอากาศ เป็นน้ำที่ใช้สำหรับการเกษตรกรรม และยังชีพของพืช และต้นไม้ต่างๆ
              
2. gravitational water เป็นน้ำส่วนที่อยู่ลึกถัดลงไป รากไม้หยั่งไม่ถึง
             
3.Capillary  water เป็นส่วนที่อยู่ติดกับส่วนอิ่มตัวด้วยน้ำ น้ำส่วนนี้จะถูกยึดไว้ในช่องว่างของชั้นหินและดิน โดยแรงดึงระหว่างช่องว่าง หรือสภาพคะปิลล่ารี (Capillary) เครื่องกรองน้ำ
 ในขณะเดียวกัน  ในส่วนที่อิ่มตัวด้วยน้ำ ช่องว่างทุกช่องที่มีอยู่ จะมีน้ำแทรกกักเก็บอยู่ทั่วหมด ไม่มีอากาศหลงเหลืออยู่ น้ำใต้ดินส่วนนี้จะเป็นส่วนที่เรียกว่า น้ำบาดาล (ground water) ที่ระดับผิวบนของส่วนที่อิ่มตัวด้วยน้ำหรือส่วนของน้ำบาดาล จะเรียกว่า ระดับน้ำบาดาล (water table) ซึ่งส่ามารถสังเกตและหาได้จากระดับน้ำนิ่งในบ่อขุดหรือบ่อเจาะไปถึงชั้นน้ำบาดาล โดยปกติแล้ว ส่วนล่างของส่วนอิ่มตัวด้วยน้ำจะเป็นชั้นหินเนื้อแน่น  (impermeable rocks) ซึ่งไม่ยอมให้น้ำไหลซึมลงไปข้างล่างได้อีกต่อไป

                นอกจากชนิดต่างๆของน้ำใต้ดินที่กล่าวมาแล้วข้างต้น อาจจะมีน้ำใต้ดินอีก 2 ลักษณะ ซึ่งถูกกักเก็บอยู่ในช่องว่างของชั้นหินต่างๆ แต่ว่าน้ำนี้จะมีลักษณะพิเศษแตกต่างออกไป กล่าวคือ จะไม่มีการหมุนเวียนตามกฏวัฏจักรของน้ำได้แก่
             1.Magmatic (Juvenile)water น้ำพวกนี้มีต้นกำเนิดมาจากภายในโลก หรือจากการเย็นตัวของหินเหลวร้อนภายในโลก (magma) โดยปกติแล้วน้ำพวกนี้จะไม่ค่อยมีการเคลื่อนที่เพราะอยู่ที่ระดับความลึกมาก ช่องว่างที่มีอยู่ไม่ต่อเนื่องกัน
            
 2.Conate water (น้ำตกค้าง) เป็นน้ำที่ตกค้างอยู่ในช่องว่างของหินตกตะกอน ตั้งแต่ครั้งหินตกตะกอนนั้นๆ โดยปกติมักจะเป็นพวกที่มีเกลือแร่ละลายอยู่สูง จนกลายเป็นน้ำแร่ (mineralized water) เครื่องกรองน้ำ NSF






วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

การฆ่าเชื้อโรคด้วยยูวี


              ขบวนการขั้นสุดท้าย ในการผลิตประปา ได้แก่ การฆ่าเชื้อโรคในนำ ซึ่งมี 2 วิธี คือ DISINFECTION และ
STERILIZATION. DISINFECTION หมายถึง การฆ่าจุลินทรีย์ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคต่างๆ ส่วน STERILIZATION นั้นหมายถึง การทำลายจุลินทรีย์ทุกชนิดที่อยู่ในนำ นำประปาควรผ่านการฆ่าเชื้อโรคด้วย วิธี DISINFECTION เป็นอย่างน้อย การทำ STERILIZATION ให้กับนำประปานั้น เครื่องกรองน้ำ ไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากต้องเสีย ค่าใช้จ่ายสูงมากจนเป็นไปไม่ได้ในทางปฎิบัติ ระบบปนระปาทั้งหลาย จึงทำการฆ่าเชื้อโรคในนํา ด้วยวิธี DISINFECTION ทั้งสิ้น สารที่ใช้ฆ่าเชื้อโรค เรียกว่า DISINFECTANT ได้แก่ ก๊าซคลอรีน, หรือสารประกอบคลอรีนอื่นๆ,โอโซน,โปแตสเซียม,เปอร์แมงกาเนต (KMnO4),เงิน เเละอื่นๆ นอกจากนี้ การฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อน และ แสงอุลตร้าไอโวเลต (UV) ก็จัดอยู่ในแบบ DISINFECTION ด้วย

คลอรีนเป็นสารฆ่าเชื้อโรคที่มีอำนาจ ออกซิไดซิง (OXIDIZING POWER)สูงมาก ทำให้สามารถหยุดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียส่วนใหญ่ได้ โอโซนและแสงอุลตร้าไวโอเลต (UV) มีราคาเเพงกว่าจึงไม่เป็นที่นิยมเท่าคลอรีน อย่างไรก็ตามสารทั้งสองชนิดหลังนี้มีข้อดี ซึ่งคลอรีนไม่อาจทำได้คือ สามารถทำลายไวรัสได้ ด้วยเหตุนี้การฆ่าเชื้อโรคในนำด้วยคลอรีนให้ผลได้ดีควรใช้ร่วมกับแสงอุลตร้าไวโอเลตด้วย การใช้โอโซนอย่างเดียวตามลำพังก็ให้ผลดีในการทำลายเชื้อโรค เเต่จะต้องสิ้นเปลืองสูง และมีความยุ่งยากในการควบคุม

การฆ่าเชื้อโรคในนำด้วยสงอุลตร้าไวโอเลต
สายตาคนไม่สามารถเห็นเเสงอุลตร้าไอโวเลต หรือ แสงยูวี(UV) แต่แสงนี้อาจทำให้วัสดุสีขาว หรือสีอื่นบางสีมีความจ้าขึ้นได้ คลื่นแสงยูวีมีตวามยาวตั้งเเต่ 2000-3900 แองสตรอม (ANGSTROM หรือ A) ซึ้งอาจ เเบ่งได้เป็นสามช่วง ดังนี้คือ
                 ช่วงคลื่นยาว (ตั้งเเต่ 3250-3900 A) แสงช่วงนี้มีอำนาจ การฆ่าเชื้อโรคตำ และสามารถพบได้ในเสงแดด
                 ช่วงคลื่นปานกลาง (ตั้งเเต่ 2950-3250 A) มีอำนาจฆ่าเชื้อโรคได้ ถ้ามีเวลาสัมผัสพอเพียง แวงช่วงนี้พบได้ในแสงแดด เช่นกัน และเป็นเเสงสำหรับอาบแดดเพื่อผิวคลำ
                 ช่วงคลื่นสั้น (ตั้งเเต่ 2500-2950 A)แสงช่วงนี้ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในนำดีที่สุด เครื่องกรองน้ำ
แสงยูวี เป็นรังสีที่เกิดขึ้นจากการเผาไอปรอทที่มีความดันตำ ในหลอดแก้ว หลอดไฟยูวีที่ทำขึ้นขายเพื่อใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในนำ มักมีความยาวคลื่นประมาณ 2537Aแก้วที่ใช้ทำหลอดต้องเป็นแก้วพิเศษ ที่ยอมให้แสงยูวีส่องผ่านได้ตลอดเช่น QUARTZ หรือแก้วที่มีเนื้อซิลิกาสูงมากๆเป็นต้น

หน่วยที่ใช้ในการวัดปริมาณ (DOSAGE) ของแสงอุลตร้าไวโอเลตที่ให้กับนำ
          ในขณะที่ปริมาณการใช้สารเคมีต่างๆ (CHEMICAL DOSAGE) วัด หรือ แสดงได้ด้วยนำหนัก เช่น ต้องใช้สารส้ม50มก./ล. หรือ 230กก./วัน เป็นต้น ปริมาณการใช้เเสงอุลตร้าไวโอเลต (UV DOSAGE) วัดได้ด้วยหน่วย ไมโครวัตต์-วท./ตร.ซม. ซึ่งเกิดจากผลคูณระหว่างความเข้มข้นของแสงใน 1 หน่วยพื้นที่ (ไมโครวัตต์/ตร.ซม.) กับเวลาสัมผัสระหว่างเเสง และนำ (หน่วยวินาที) การวัดปริมาณแสงยูวีอาจใช้หน่วย ULTRAD ซึ่งมีค่าเท่ากับ 1 ไมโครวัตต์-วท./ตร.ซม. ก็ได้
       

คุณสมบัติที่ต้องการของเครื่องฆ่าเชื้อโรคในน้ำด้วยแสงยูวี
แสงยูวีควรมีความยาวคลื่น 2537 A
ตัวหลอดไฟยูวี ควรสร้างขึ้นจาก Quartz หรือแก้วที่มีซิลิกาสูงทั้งนี้เพื่อให้มีการดูดกลืนแสงยูวีเกิดขึ้นน้อยที่สุดนอกจากนี้อุณหภูมิทำงานของหลอดแสงยูวีควรสูงประมาณ 105 ฟ.
ก่อนใช้เครื่องยูวี ต้องอุ่นเครื่องประมาณ2 นาที ดังนั้นจึงต้องมีอุปกรณ์หน่วยเวลามิให้นำไหลเข้าเครื่องในระหว่างเวลาอุ่นเครื่อง ทั้งนี้เพื่อมิให้การผลิตน้ำที่ยังไม่ได้ฆ่าเชื้อผ่านออกจากเครื่องยูวีในระหว่างที่เครื่องยังไม่ทำงาน
ต้องมีอุปรณ์ทำความสะอาดผิวนอก (ด้านที่สัมผัสกับน้ำ) ของหลอดยูวี จนทำให้การฆ่าเชื้อโรคไม่เกิดผล
ต้องมีอุปกรณ์ควบคุมอัตตราการไหลของน้ำ ที่ผ่านเข้าเครื่องมิให้สูงเกินกว่าอัตราที่เหมาะสม
ต้องมีมาตรบอกความเข้มของเเสงยูวี วัดที่จุดไกลที่สุดในห้องฆ่าเชื้อ
ควรมีระบบสัญญาณเตือนให้รู้ถึงความผิดปรกติของเครื่องฆ่าเชื้อ เครื่องกรองน้ำ
วัสดุที่ใช้สร้างเครื่องยูวีต้องไม่ทำให้น้ำเป็นพิษ ทั้งโดยทางตรง เเละ โดยทางอ้อม
เครื่องยูวีต้องไม่ทำให้ผู้ใช้ได้รับอันตราย เนื่องจากสัมผัสกับเเสงยูวีมากเกินไป หรือ เนื่องจากไฟฟ้าช็อต หรืออื่นๆ

ขีดจำกัด และ ข้อดี ของการใช้เเสงยูวีในการฆ่าเชื้อโรค
         เเสงยูวีฆ่าเชื้อโรคในน้ำได้ดีต่อเมื่อมันเห็นเชื้อโรค ดังนั้นน้ำต้องปราศจากความขุ่น หรือสี ความขุ่น หรือสิ่งสกปรกสามารถเกาะจับอยู่บนหลอดแสงยูวี และทำให้แสงยูวีไม่สามารถส่องผ่านได้ตลอดความลึก สาเหตุอย่างหนึ่งในอดีตที่ทำให้การฆ่าเชื้อด้วยแสงยูวีไม่ได้รับความนิยม คือจำเเนกไม่ได้ถึงสาเหตุของความล้มเหลวของแสงยูวี ว่าเกิดขึ้นเนื่องจากหลอดเสีย หรือมีความสกปรกมากั้น การส่องผ่านของเเสงยูวี แต่ในปัจจุบันเราสารถวัดระดับความเข้มข้นของแสงได้ ทำให้สามารถทราบถึงสาเหตุของความผิดปรกติของแสงยูวี และแก้ไขจุดบกพร่องได้

แสงยูวีมีข้อดีเหนือกว่าคลอรีน คือ
ไม่ทำให้เกิดรส
ไม่สร้างสารตกค้างในน้ำ

ขอบคุณที่มา marinewatersupply